Back to top

ยาดม ข้อเสีย

ยาดม-เทียนหอม สูดดมทุกวัน ปอดพังจริงไหม? ไขข้อข้องใจกลิ่นอันตรายใกล้ตัว

คนไทยอย่างเราๆ กับ “ยาดม” แทบจะเป็นของคู่กันเลยใช่ไหมครับ บางคนถึงขั้นต้องพกติดตัวตลอดเวลา หรือบางคนก็ชอบจุด “เทียนหอม” หรือใช้น้ำมันหอมระเหยในห้องเพื่อความผ่อนคลาย แต่เคยสงสัยไหมครับว่า กลิ่นที่เราสูดดมเข้าไปทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอม สเปรย์ฆ่าเชื้อ หรือแม้แต่น้ำยาล้างห้องน้ำ มันกำลังทำร้ายปอดของเราโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า?

สารเคมีในบ้าน: กลิ่นฉุนที่อันตรายกว่าที่คิด

หลายคนคิดว่ากลิ่นฉุนๆ เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะเวลาทำความสะอาดบ้าน แต่ความจริงแล้ว “สารเคมี” ที่เราสูดดมเข้าไปต่างหากที่อันตราย ไม่ใช่แค่ตัวกลิ่นครับ

  • น้ำยาล้างห้องน้ำ / ยาฆ่าเชื้อ: เคสที่พบบ่อยคือการสูดดมควัน หรือสารเคมีเข้มข้นในที่ปิด เช่น การล้างห้องน้ำ หรือการฉีดสเปรย์ฆ่าเชื้อโรค (เช่น พวกไลซอล) ในห้องที่อากาศไม่ถ่ายเท สารเคมีเหล่านี้ไม่ได้ออกแบบมาให้เราสูดดม การได้รับในปริมาณมากอาจทำให้ปอดเสียหายเฉียบพลันได้

  • ยาฆ่าแมลง: นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสารเคมีอันตรายที่ส่งผลต่อปอดได้โดยตรง

วิธีป้องกันตัวเอง: สิ่งสำคัญที่สุดคือ การระบายอากาศ ครับ เวลาล้างห้องน้ำหรือใช้สารเคมีใดๆ ต้องเปิดประตู หน้าต่าง หรือพัดลมระบายอากาศให้โล่งที่สุด

คำถาม: แล้วใส่หน้ากากธรรมดา หรือ N95 ช่วยได้ไหม? คำตอบ: ไม่ได้ครับ หน้ากาก N95 กันได้แค่ฝุ่นหรือเชื้อโรค แต่ไม่สามารถกัน “สารเคมี” ที่มีอนุภาคเล็กมากๆ ได้ ถ้าจะกันจริงๆ ต้องใช้หน้ากากกันสารเคมีแบบที่ใช้ในสงคราม ซึ่งคงไม่มีใครใส่ล้างห้องน้ำใช่ไหมครับ ดังนั้น “การระบายอากาศ” คือทางออกที่ดีที่สุด

 

“ติดดม” พฤติกรรมยอดฮิตของคนไทย อันตรายแค่ไหน?

มาถึงคำถามยอดฮิตที่หลายคนอยากรู้ กลิ่นหอมๆ ที่เราเสพติดกันอยู่ทุกวันล่ะ ปลอดภัยแค่ไหน?

1. ยาดม

ข่าวดีคือ การดมยาดมทั่วไปไม่ได้ส่งผลเสียร้ายแรงต่อ “ปอด” โดยตรง แต่… มันส่งผลเสียต่อ “จมูก” ครับ!

  • เยื่อบุจมูกพัง: การสูดดมบ่อยๆ หรือโดยเฉพาะการ “ยัดเข้าจมูก” จะทำให้เยื่อบุโพรงจมูกเกิดการบาดเจ็บ ระคายเคือง

  • การรับกลิ่นเพี้ยน: คล้ายกับการกินเผ็ดจนชินนั่นแหละครับ พอเราดมกลิ่นเข้มข้นมากๆ เป็นประจำ ประสาทการรับกลิ่นของเราจะชินชา จนต่อไปอาจจะไม่ได้กลิ่นอ่อนๆ ตามธรรมชาติอีกเลย

  • ความเสี่ยงเชื้อรา (กรณีสมุนไพร): เคยมีกรณีที่ยาดมแบบสมุนไพรเก่าหรือเก็บไม่ดี เกิดเชื้อราอยู่ข้างใน การสูดดมเข้าไปก็เหมือนเราสูดเชื้อราเข้าจมูกโดยตรง

2. น้ำมันหอมระเหย (Essential Oils) และ ยาหม่อง

อันตรายของน้ำมันหอมระเหยคือ “ไขมัน” ครับ หากเราใช้ในความเข้มข้นที่สูงมากในห้องปิด หรือ (ที่อันตรายกว่า) คือการนำมา ป้ายจมูก เป็นประจำ

ละอองไขมันเล็กๆ เหล่านี้สามารถเล็ดลอดเข้าไปในปอด เมื่อสะสมในปริมาณมาก สามารถทำให้เกิด “ปอดอักเสบจากไขมัน” (Lipoid Pneumonia) ได้ ซึ่งรักษายากมากครับ

3. เทียนหอม และ การบูร

โดยทั่วไปการจุดเทียนหอมในห้องถือว่าค่อนข้างปลอดภัยครับ เพราะเราไม่ได้จุดตลอด 24 ชั่วโมง และมักจะมีการเปิด-ปิดประตู ทำให้อากาศถ่ายเทอยู่แล้ว แต่ปัญหาจะเกิดเมื่อ:

  1. จุดในที่ปิดทึบ: อากาศไม่ถ่ายเท ทำให้เราสูดดมควันและสารต่างๆ เข้มข้นเกินไป

  2. ผู้มีโรคประจำตัว: คนที่เป็นโรคปอด หอบหืด หรือไมเกรน อาจไวต่อกลิ่นเหล่านี้ และทำให้อาการกำเริบได้

  3. กลิ่นแรงเกินไป (เช่น การบูรในรถ): กลิ่นที่หอมในปริมาณน้อยๆ เมื่อมันเข้มข้นมากๆ (เช่น การบูรเต็มรถแท็กซี่ หรือใบเตยอัดแน่น) ร่างกายเราจะรู้สึกว่ามัน “มากเกินไป” จนกลายเป็นเหม็น และทำให้ผะอืดผะอมได้ครับ

ภัยเงียบในห้องแอร์: เชื้อรา และ อากาศไม่ถ่ายเท

หลายคนกังวลว่าอยู่ห้องแอร์นานๆ ปอดจะเป็นอะไรไหม? คำตอบคือ: ตัวแอร์ไม่ทำร้ายปอดครับ แต่ปัญหาคือ “อากาศที่ไม่ถ่ายเท” และ “สิ่งที่ซ่อนอยู่ในแอร์”

  • อากาศเก่า: การอยู่ในห้องปิดนานๆ ทำให้เราหายใจเอาออกซิเจนเก่าๆ และคาร์บอนไดออกไซด์ที่เราปล่อยออกมาเองกลับเข้าไป ทำให้คุณภาพอากาศไม่ดี

  • เชื้อรา (Mold): นี่คือภัยเงียบที่น่ากลัว หากแอร์มีความชื้น หรือมีน้ำรั่วซึมตามกำแพง/ฝ้าเพดาน จนเกิดเชื้อราที่เรามองไม่เห็น สปอร์ของเชื้อราที่ลอยในอากาศ เมื่อเราสูดดมเข้าไป สามารถก่อให้เกิด “ปอดอักเสบจากภูมิแพ้” ที่รุนแรงและรักษายากได้

  • เชื้อโรคในโรงแรม: ในระบบแอร์รวมขนาดใหญ่ของโรงแรม หากการดูแลระบบน้ำหล่อเย็นไม่ดีพอ อาจเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ “ลีเจียนแนลลา” (Legionella) ซึ่งทำให้เกิดปอดอักเสบรุนแรงได้

ควันบุหรี่และมลภาวะ: ภัยร้ายที่ (เลี่ยง) ยาก

นี่คือสิ่งที่ทำร้ายปอดโดยตรงและชัดเจนที่สุด และน่าเศร้าที่ “หน้ากากก็เอาไม่อยู่”

  • บุหรี่มือสอง: คือการที่เราสูดควันที่คนอื่นพ่นออกมา

  • บุหรี่มือสาม: คือกลิ่นและสารพิษที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้า ผนัง หรือเฟอร์นิเจอร์ แม้ว่าคนสูบจะเดินออกไปแล้วก็ตาม สารพิษเหล่านี้ยังคงอยู่และเป็นอันตรายต่อคนในบ้าน โดยเฉพาะเด็กๆ

  • อาชีพเสี่ยง: นอกจากนี้ อาชีพที่ต้องเจอมลภาวะตลอดเวลา เช่น ตำรวจจราจร, พ่อค้าแม่ค้าข้างถนน, ช่างทำผม (สารเคมี), หรือแม้แต่ แม่ครัว/พ่อครัว ที่สูดดม “ควันจากการทำอาหาร” (โดยเฉพาะควันจากการไหม้) ก็ถือเป็นสารก่อมะเร็งปอดได้เช่นกัน แม้จะไม่ได้สูบบุหรี่เลยก็ตาม

ล้างปอดมีจริงไหม? กับความเชื่อผิดๆ เรื่องดีท็อกซ์

“เคยสูบบุหรี่” “เคยทำงานในที่ฝุ่นเยอะ” “อยากล้างปอด” … แล้วก็มีคนมาเสนอขายคอร์สดีท็อกซ์ หรืออาหารเสริมล้างปอด

คำถามคือ… มันได้ผลจริงไหม? คำตอบที่ชัดเจนคือ: “ไม่มีจริงครับ”

การกินยา ฉีดสารอะไรบางอย่างเพื่อ “ล้าง” หรือ “ดีท็อกซ์” ปอด เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและไม่มีหลักฐานทางการแพทย์รองรับครับ

แล้วร่างกายทำความสะอาดปอดตัวเองยังไง? ปอดของเรามีกลไกทำความสะอาดตัวเองที่มหัศจรรย์อยู่แล้วครับ:

  1. ระบบเมือกและขนพัดโบก (Mucociliary Clearance): ในทางเดินหายใจจะมีเมือกคอยดักจับฝุ่นและเชื้อโรค จากนั้น “ขนเล็กๆ” (Cilia) จะคอยพัดโบกเมือกเหล่านี้ขึ้นมาให้เราไอหรือขากเสมหะออกมา

  2. เซลล์เก็บกิน (Macrophages): ในถุงลมปอด จะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่คอย “เก็บกิน” สิ่งแปลกปลอมที่หลุดเข้าไป

ข่าวดีสำหรับคนเลิกบุหรี่: ทันทีที่เราเลิกสูบบุหรี่ “ขนเล็กๆ” ที่เคยถูกทำลายไปจะเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนที่เพิ่งเลิกบุหรี่มักจะ “ไอหนักมาก” และมีเสมหะเยอะในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก… นั่นเป็นสัญญาณที่ดีครับ! เพราะปอดกำลังเร่งกำจัดของเสียที่สะสมไว้ออกมานั่นเอง

สรุป ดูแลปอดวันนี้… เริ่มยังไงดี?

ในเมื่อ “ล้างปอด” ไม่มีจริง แล้วเราจะช่วยปอดของเราได้อย่างไร?

  1. หยุดรับสารพิษ: นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เลิกบุหรี่ หลีกเลี่ยงควัน และระบายอากาศเมื่อเจอสารเคมี

  2. ดื่มน้ำเปล่า: การดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยให้เสมหะไม่เหนียวข้น ร่างกายขับของเสีย (ทางปัสสาวะ) ได้ดีขึ้น

  3. ออกกำลังกาย/ซาวน่า: การทำให้เหงื่อออก เป็นอีกทางที่ร่างกายใช้ขับสารพิษบางชนิดได้

  4. นอนให้พอ กินให้ดี: พื้นฐานร่างกายที่แข็งแรง ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันและกลไกซ่อมแซมตัวเอง (รวมถึงปอด) ทำงานได้เต็มที่

  5. อยู่กับธรรมชาติ: การไปอยู่ในที่ที่มีต้นไม้ใหญ่ จะช่วยให้เราได้รับสาร “ไฟทอนไซด์” (Phytoncide) ที่ต้นไม้ปล่อยออกมา ซึ่งช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของเราได้

ความเชื่อที่ถูกทำลาย: “ห้ามปลูกต้นไม้ในห้องนอน เพราะแย่งอากาศหายใจ” เรื่องนี้ “ไม่เป็นความจริงเลยครับ” ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต้นไม้คายออกมาตอนกลางคืนนั้น “น้อยมาก” จนไม่มีผลกระทบอะไรกับเราเลย ดังนั้น ใครอยากปลูกต้นไม้ในห้องนอน ปลูกได้เลยครับ!

ข้อมูลอ้างอิงจาก นายแพทย์ธนี ธนียวัณ