5 ผักยอดฮิต กินบ่อย ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง

5 ผักยอดฮิต กินบ่อย ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง 
ให้เราเลือกประกันที่เหมาะสมกับคุณผ่านไลน์ ปรึกษาผ่าน LINE

5 ผักยอดฮิต กินบ่อย ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง

นอกจากการออกกำลังกายแล้วการเลือกทานอาหารก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่ส่งผลต่อสุขภาพของเรา เพราะการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยให้เราห่างไกลจากโรคภัยต่างๆได้ มาดู 5 ผักยอดฮิตหากกินบ่อยจะช่วยความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งได้กันครับ

  1. แครอต อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล ใยอาหาร และโปรตีน แครอตเป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ป้องกันผิวจากรังสียูวี ทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี และยังสามารถช่วยยับยั้งการเกิดเซลล์มะเร็งต่างๆ ได้การนำแครอตไปผ่านกระบวนการต้ม หรือทำให้ร้อนเสียก่อน จะทำให้เบต้าแคโรทีนออกจากเซลล์แครอตได้ดีขึ้น และสารอาหารต่างๆ ที่อยู่ในแครอตนั้น ยังสามารถช่วยป้องกันโรคตาฟาง ช่วยขับสารพิษออกจากตับ และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วยข้อมูลจาก : นิตยสารชีวจิต

       2. ลูกเดือยเป็นพืชที่อยู่ในตระกูลเดียวกับข้าว ลักษณะต้นคล้ายข้าวโพด แต่ใบสั้นกว่า ขึ้นเป็นกอ ออกรวงยาว ภายในรวงมีเมล็ดรูปกลมคล้ายหยดน้ำจำนวนมาก พันธุ์ที่กินได้จะมีเปลือกหุ้มเมล็ดนิ่ม ซึ่งมีทั้งพันธุ์ข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ใช้ทำอาหารได้หลากหลายทั้งคาวและหวาน

ลูกเดือยเป็นธัญพืชที่มีวิตามินบี1 และฟอสฟอรัสสูง วิตามินบี1 ช่วยแก้อาการเหน็บชา ส่วนฟอสฟอรัสช่วยบำรุงกระดูก ฟัน เหมาะสำหรับผู้มีภาวะกระดูกพรุนเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่า ธัญพืชมหัศจรรย์ชนิดนี้ยังมีสาร Coixenolide ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้

ข้อมูลจาก : นิตยสารชีวจิต

        3. เห็ดแชมปิญอง หรือเห็ดกระดุม มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศฝรั่งเศส ต่อมาประเทศไทยได้นำสายพันธุ์เห็ดชนิดนี้มาเพาะปลูกทางภาคเหนือ เพราะสภาพภูมิอากาศเหมาะแก่การเจริญเติบโตได้ดี ด้วยรสชาติที่อร่อยถูกปาก ทั้งยังมีแร่ธาตุ และวิตามินสูง ทำให้เห็ดแชมปิญองได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

นอกจากคุณค่าทางสารอาหารแล้ว เห็ดแชมปิญองยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างเซลล์ที่เสียหายและต้านโรคมะเร็งต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิง เห็ดแชมปิญอง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก เพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือดได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งยังมีกากใยสูง ช่วยขับหรือล้างสารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น

ข้อมูลจาก : Kapook Health

          4. หน่อไม้ฝรั่ง จากงานวิจัยของ University of Ulster ประเทศไอร์แลนด์ พบว่าการกินหน่อไม้ฝรั่งมีส่วนช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน (Insulin) ซึงเป็นฮอร์โมนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ดังนั้นการทานหน่อไม้ฝรั่งจึงมีส่วนช่วยในการป้องกันดรคเบาหวานได้ อีกทั้งยังช่วยป้องกันโรคมะเร็ง เนื่องจากหน่อไม้ฝรั่ง 150 กรัมให้กรดโฟลิกถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการทั้งหมดของร่างกายต่อ 1 วัน และยังมีวิตามินบี 6 ซึ่ง ทั้งสองสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอดลงได้มากถึง 2-3 เท่า

ทั้งนี้นักวิจัยจากสถาบันป้องกันมะเร็ง IFCPสหรัฐอเมริกา ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า โปรตีนกลูตาไธโอน (Glutathione) ในหน่อไม้ฝรั่ง มีประสิทธิภาพเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายจึงช่วยป้องกันการลุกลามของมะเร็งได้อีกด้วย

ข้อมูลจาก : สถาบันโรคทรวงอก

         5. ฟักทอง สามารถนำมาประกอบอาหารได้ทั้งคาว หวาน มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะมีเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง ช่วยลดโอกาสในการเป็นโรคมะเร็งได้ หากกินฟักทองทั้งเปลือกจะได้ฤทธิ์ทางยา สามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเส้นเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน
นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงตับ ไต นัยน์ตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไปได้เพื่อสุขภาพที่ดี เพื่อนๆ อย่าลืมทานฟักทองกันนะคะ

ข้อมูลจาก : Sanook Health

สำหรับท่านใดที่สนใจประกันมะเร็ง สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 02-633-6060 หรือแอดไลน์สอบถามรายละเอียดได้ที่ Line@tiscoinsure นะครับ

ผลิตภัณฑ์ประกันแนะนำ

ประกันสุขภาพ

ประกันสุขภาพ My Care Easy Health

ค่าเบี้ยเริ่มต้น 9,378 บาท ต่อปี

  • คุ้มครองสูงสุด: 5,000,000 บาท/ปี
  • ผู้ป่วยใน: เหมาจ่ายตามจริง
  • ผู้ป่วยนอก: –
  • ค่าห้อง : ห้องพักเดี่ยวมาตรฐาน
ดูรายละเอียด
ประกันสุขภาพ

ประกันสุขภาพ My Care Prestige

ค่าเบี้ยเริ่มต้น 18,611 บาท ต่อปี

  • คุ้มครองสูงสุด: 100,000,000 บาท/ปี
  • ผู้ป่วยใน: เหมาจ่ายตามจริง
  • ผู้ป่วยนอก: ซื้อเพิ่มได้
  • ค่าห้องสูงสุด: 25,000 บาท
ดูรายละเอียด
ประกันสุขภาพ

ประกันสุขภาพ My Care Saver

ค่าเบี้ยเริ่มต้น 5,940 บาท ต่อปี

  • คุ้มครองสูงสุด: 300,000 บาท/ปี
  • ผู้ป่วยใน: ไม่เกิน 50,000 บาท/ต่อครั้ง
  • ผู้ป่วยนอก: –
  • ค่าห้องสูงสุด : ตามจริง
ดูรายละเอียด

แชร์บทความนี้