โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Infections หรือ STIs) หรือที่เคยเรียกว่า STDs ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่หลายคนคิด องค์การอนามัยโลก (WHO) ประมาณการว่า ในแต่ละวันมีผู้ติดเชื้อ STI รายใหม่มากกว่า 1 ล้านคนทั่วโลก
ความน่ากลัวของโรคเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงแค่อาการที่น่าอาย แต่หลายครั้งการติดเชื้ออาจ “ไม่แสดงอาการ” เลย ทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่กระจายโรคไปสู่ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว และหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ภาวะมีบุตรยาก มะเร็ง หรือแม้กระทั่งเสียชีวิต
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อย: อาการ ความน่ากลัว และการรักษา
STIs สามารถเกิดได้จากทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และปรสิต เราจะมาดูโรคที่พบบ่อยและมีความสำคัญ ดังนี้
1. การติดเชื้อเอชพีวี (Human Papillomavirus – HPV)
- มันคืออะไร: เป็นการติดเชื้อไวรัสที่พบบ่อยที่สุดชนิดหนึ่ง ติดต่อผ่านการสัมผัสผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ
- อาการ: ส่วนใหญ่ ไม่มีอาการ และหายได้เอง แต่บางสายพันธุ์อาจทำให้เกิดหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก
- ความน่ากลัว: HPV สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง (High-risk types) เป็นสาเหตุหลักของ มะเร็งปากมดลูก ในผู้หญิง รวมถึงมะเร็งช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก และมะเร็งในช่องปากและลำคอ
- การรักษา: ไม่มียารักษาเชื้อไวรัสโดยตรง แต่ร่างกายมักกำจัดได้เอง การรักษาจะเน้นที่การรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อ เช่น การจี้หูด หรือการรักษารอยโรคก่อนเป็นมะเร็งที่ปากมดลูก
- การป้องกันที่ดีที่สุด: การฉีดวัคซีน HPV ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
2. โรคหนองในเทียม (Chlamydia)
- มันคืออะไร: เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis
- อาการ: เป็น “โรคเงียบ” ที่มักไม่แสดงอาการ โดยเฉพาะในผู้หญิง ส่วนผู้ชายอาจมีอาการแสบขัดขณะปัสสาวะ หรือมีสารคัดหลั่งใสๆ ไหลจากอวัยวะเพศ
- ความน่ากลัว: หากไม่รักษาในผู้หญิง เชื้อสามารถลุกลามไปยังมดลูกและท่อนำไข่ ก่อให้เกิด อุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID) ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะมีบุตรยาก หรือการตั้งครรภ์นอกมดลูก
- การรักษา: รักษาให้ หายขาดได้ ด้วยยาปฏิชีวนะ (เช่น Doxycycline หรือ Azithromycin) ตามคำแนะนำของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC)
3. โรคหนองในแท้ (Gonorrhea)
- มันคืออะไร: เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae
- อาการ: ผู้ชายมักมีอาการชัดเจนกว่า เช่น มีหนองสีเหลืองหรือเขียวไหลจากอวัยวะเพศ แสบขัดเวลาปัสสาวะ ส่วนผู้หญิงอาจมีอาการตกขาวผิดปกติ หรือไม่มีอาการเลย
- ความน่ากลัว: คล้ายกับหนองในเทียม คือทำให้เกิดอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID) และภาวะมีบุตรยากในผู้หญิงได้ นอกจากนี้ เชื้อหนองในแท้ในปัจจุบันมีแนวโน้ม ดื้อยาปฏิชีวนะ สูงขึ้น ทำให้การรักษายากขึ้น
- การรักษา: รักษาให้ หายขาดได้ ด้วยยาปฏิชีวนะ (มักใช้ยาฉีดร่วมกับยารับประทาน) แต่ต้องใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
4. โรคซิฟิลิส (Syphilis)
- มันคืออะไร: เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum
- อาการ: มีหลายระยะ
- ระยะที่ 1: มีแผลริมแข็ง (Chancre) บริเวณที่รับเชื้อ (อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก) แผลนี้มักไม่เจ็บและหายเองได้
- ระยะที่ 2: มีผื่นขึ้นตามตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต
- ระยะแฝง: ไม่มีอาการ แต่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย
- ระยะที่ 3 (ระยะสุดท้าย): หากไม่รักษา เชื้อจะทำลายอวัยวะภายใน เช่น หัวใจ หลอดเลือด สมอง และระบบประสาท
- ความน่ากลัว: เป็นโรคที่อันตรายมากหากปล่อยทิ้งไว้จนถึงระยะสุดท้าย อาจทำให้ตาบอด หูหนวก อัมพาต หรือเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในครรภ์ (Congenital Syphilis) ซึ่งรุนแรงมาก
- การรักษา: รักษาให้ หายขาดได้ โดยเฉพาะในระยะแรก ด้วยยาเพนิซิลลิน (Penicillin)
5. โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes)
- มันคืออะไร: เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) ส่วนใหญ่มักเป็น Type 2 (HSV-2)
- อาการ: มีตุ่มน้ำใส หรือแผลตื้นๆ ที่มีอาการเจ็บปวด แสบร้อน บริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก เมื่อเป็นแล้วเชื้อจะ แฝงตัวอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต และสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ (เป็นๆ หายๆ)
- ความน่ากลัว: แม้ไม่ทำให้เสียชีวิต แต่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต การมีแผลเริมยังเพิ่มความเสี่ยงในการรับและแพร่เชื้อ HIV ได้ง่ายขึ้น
- การรักษา: ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการและลดความถี่ในการกลับเป็นซ้ำได้ด้วยยาต้านไวรัส (เช่น Acyclovir, Valacyclovir)
6. การติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
- มันคืออะไร: เชื้อไวรัสที่มุ่งทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (เซลล์เม็ดเลือดขาว CD4)
- อาการ: ในระยะแรกหลังติดเชื้อ อาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ แล้วจะเข้าสู่ระยะแฝงที่ไม่มีอาการนานหลายปี
- ความน่ากลัว: หากไม่รักษา ระดับภูมิคุ้มกันจะลดลงเรื่อยๆ จนเข้าสู่ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือ โรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ได้ และเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสจนเสียชีวิตในที่สุด
- การรักษา: ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ปัจจุบันมียาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy – ART) ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก หากรับประทานยาสม่ำเสมอจะสามารถกดปริมาณไวรัสในเลือดจนตรวจไม่พบ ซึ่งหมายถึงจะไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อให้ผู้อื่นได้ทางเพศสัมพันธ์ ผู้ติดเชื้อ HIV ในปัจจุบันสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและแข็งแรงได้เหมือนคนปกติ
หัวใจสำคัญ: การป้องกันและการรักษา
ความน่ากลัวของ STIs คือการที่หลายโรคไม่แสดงอาการ การป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
- การใช้ถุงยางอนามัย (Condoms): เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดความเสี่ยงการติดเชื้อ STIs ส่วนใหญ่ รวมถึง HIV เมื่อใช้อย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ
- การตรวจคัดกรอง (Testing): หากคุณมีความเสี่ยง (เช่น เปลี่ยนคู่นอนใหม่ มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน) ควรตรวจคัดกรอง STIs เป็นประจำ การตรวจพบเร็ว นำไปสู่การรักษาที่รวดเร็ว และลดการแพร่เชื้อ
- การฉีดวัคซีน (Vaccination): วัคซีน HPV สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกและโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้
- การสื่อสารกับคู่นอน: พูดคุยเรื่องประวัติสุขภาพทางเพศและการป้องกันอย่างเปิดอก
- การรักษาอย่างถูกต้อง: หากตรวจพบเชื้อ ต้องรักษาทันที
- โรคจากแบคทีเรีย (หนองใน, ซิฟิลิส, หนองในเทียม): สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ
- โรคจากไวรัส (เริม, HIV, HPV): ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมและจัดการอาการได้ด้วยยาต้านไวรัส
ข้อควรทราบ (Disclaimer): ข้อมูลในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้เท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนคำวินิจฉัยหรือคำแนะนำจากแพทย์ได้ หากคุณมีอาการน่าสงสัยหรือมีความเสี่ยง ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือสถานพยาบาลเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง
วิธีการตรวจวินิจฉัยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs)
เมื่อคุณไปพบแพทย์ แพทย์จะซักประวัติความเสี่ยงและอาจตรวจร่างกายเบื้องต้น จากนั้นจะเลือกวิธีตรวจที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งแต่ละโรคมีวิธีตรวจไม่เหมือนกัน ดังนี้ครับ:
1. การตรวจปัสสาวะ (Urine Test)
- ตรวจโรค: หนองในเทียม (Chlamydia), หนองในแท้ (Gonorrhea)
- ความน่าเชื่อถือ: มีความแม่นยำสูงมาก (Very High Accuracy)
- รายละเอียด: การตรวจปัสสาวะโดยใช้เทคนิคการขยายสารพันธุกรรม (เช่น NAATs – Nucleic Acid Amplification Tests) ถือเป็น “มาตรฐานทองคำ” (Gold Standard) ในการวินิจฉัยโรคเหล่านี้ในปัจจุบัน มีความไ (Sensitivity) และความจำเพาะ (Specificity) สูงมาก
- ข้อควรระวัง: ต้องตรวจหลังจากมีความเสี่ยงอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
2. การตรวจเลือด (Blood Test)
- ตรวจโรค: HIV, ซิฟิลิส (Syphilis), เริม (Herpes), ไวรัสตับอักเสบ B/C
- ความน่าเชื่อถือ: มีความแม่นยำสูงมาก (Very High Accuracy)
- รายละเอียด:
- HIV: การตรวจในปัจจุบัน (เช่น 4th Generation) มีความไวสูงมาก สามารถตรวจพบได้เร็ว (ประมาณ 2-4 สัปดาห์หลังเสี่ยง) หากผลเป็นบวก แพทย์จะทำการตรวจยืนยัน (Confirmatory test) อีกครั้งเพื่อให้มั่นใจ 100%
- ซิฟิลิส: การตรวจคัดกรอง (เช่น VDRL, RPR) และการตรวจยืนยัน (เช่น TPHA, FTA-ABS) มีความน่าเชื่อถือสูงมากเมื่อใช้ควบคู่กัน
- เริม (Herpes): การตรวจเลือดหาแอนติบอดี (IgG) สามารถบอกได้ว่าคุณ “เคย” ได้รับเชื้อหรือไม่ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าแผลที่คุณเป็นอยู่ “คือ” เริมหรือไม่
- ข้อควรระวัง: เป็นวิธีที่ขึ้นอยู่กับ Window Period มากที่สุด โดยเฉพาะ HIV และ ซิฟิลิส (อาจต้องรอ 4-6 สัปดาห์ หรือยืนยันที่ 3 เดือน)
3. การเก็บตัวอย่างจากสารคัดหลั่ง (Swab Test)
- ตรวจโรค: หนองในเทียม, หนองในแท้, เริม (Herpes), HPV (ในผู้หญิงคือ Pap Smear)
- ความน่าเชื่อถือ: มีความแม่นยำสูงมาก (Very High Accuracy) โดยเฉพาะเมื่อมีอาการ
- รายละเอียด:
- เริม (Herpes): หากคุณ “มีแผล” การป้ายเชื้อจากแผลโดยตรง (Swab) ไปตรวจหาไวรัส (เช่น PCR) ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดและแม่นยำที่สุดในการยืนยันว่าแผลนั้นเกิดจากเชื้อเริมจริง
- หนองใน/หนองในเทียม: การ Swab จากปากมดลูก หรือท่อปัสสาวะ (โดยเฉพาะถ้ามีหนองไหล) มีความแม่นยำสูงมาก (เช่นเดียวกับการตรวจปัสสาวะแบบ NAATs)
- ข้อควรระวัง: ต้องเก็บตัวอย่างให้ถูกวิธีและจากตำแหน่งที่ถูกต้อง
4. การตรวจร่างกาย (Physical Exam)
- ตรวจโรค: หูดหงอนไก่ (HPV), เริม (Herpes), ซิฟิลิส (แผลริมแข็ง)
- ความน่าเชื่อถือ: เป็นการวินิจฉัยเบื้องต้น (Preliminary Diagnosis) ไม่ใช่การยืนยันผล
- รายละเอียด: แพทย์ที่มีประสบการณ์สามารถ “วินิจฉัยได้จากสายตา” (Visual diagnosis) สำหรับโรคที่แสดงอาการชัดเจน เช่น หูดหงอนไก่ หรือแผลเริมที่มีลักษณะเฉพาะ
- ข้อควรระวัง: วิธีนี้ไม่สามารถยืนยันเชื้อได้ 100% และ ไม่สามารถใช้ตรวจโรคที่ไม่แสดงอาการได้เลย (เช่น HIV, หนองในเทียมในผู้หญิง) แพทย์มักจะสั่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ (เช่น ตรวจเลือด หรือ Swab) เพื่อยืนยันผลเสมอ
วิธีการตรวจ
ความน่าเชื่อถือ (เมื่อตรวจถูกเวลา)
มักใช้ตรวจโรค
หมายเหตุสำคัญ
1. ตรวจปัสสาวะ (NAATs)
สูงมาก (มาตรฐาน Gold Standard)
หนองในเทียม, หนองในแท้
ตรวจง่าย ไม่เจ็บตัว แม่นยำสูง
2. ตรวจเลือด (Lab Test)
สูงมาก (มาตรฐานการวินิจฉัย)
HIV, ซิฟิลิส, ไวรัสตับอักเสบ
แม่นยำสูง ตรวจได้เร็ว (เช่น HIV 4th Gen)
3. เก็บสารคัดหลั่ง (Swab)
สูงมาก (ดีที่สุดหากมีอาการ/แผล)
เริม (จากแผล), HPV, หนองใน
ใช้ยืนยันเชื้อจากรอยโรคได้ดีที่สุด
4. ตรวจร่างกาย (ดูด้วยตา)
เป็นการประเมินเบื้องต้น
หูดหงอนไก่, เริม (ที่มีแผล)
ต้องตรวจ Lab ยืนยันเสมอ
5. ชุดตรวจเอง (Self-Test)
เป็นการคัดกรองเบื้องต้น
HIV, ซิฟิลิส (บางรุ่น)
ต้องรอ 3 เดือน ถึงจะเชื่อผลลบได้ / ผลบวกต้องตรวจยืนยัน
| วิธีการตรวจ | ความน่าเชื่อถือ (เมื่อตรวจถูกเวลา) | มักใช้ตรวจโรค | หมายเหตุสำคัญ |
| 1. ตรวจปัสสาวะ (NAATs) | สูงมาก (มาตรฐาน Gold Standard) | หนองในเทียม, หนองในแท้ | ตรวจง่าย ไม่เจ็บตัว แม่นยำสูง |
| 2. ตรวจเลือด (Lab Test) | สูงมาก (มาตรฐานการวินิจฉัย) | HIV, ซิฟิลิส, ไวรัสตับอักเสบ | แม่นยำสูง ตรวจได้เร็ว (เช่น HIV 4th Gen) |
| 3. เก็บสารคัดหลั่ง (Swab) | สูงมาก (ดีที่สุดหากมีอาการ/แผล) | เริม (จากแผล), HPV, หนองใน | ใช้ยืนยันเชื้อจากรอยโรคได้ดีที่สุด |
| 4. ตรวจร่างกาย (ดูด้วยตา) | เป็นการประเมินเบื้องต้น | หูดหงอนไก่, เริม (ที่มีแผล) | ต้องตรวจ Lab ยืนยันเสมอ |
| 5. ชุดตรวจเอง (Self-Test) | เป็นการคัดกรองเบื้องต้น | HIV, ซิฟิลิส (บางรุ่น) | ต้องรอ 3 เดือน ถึงจะเชื่อผลลบได้ / ผลบวกต้องตรวจยืนยัน |
ไปตรวจได้ที่ไหน?
คุณสามารถไปรับการตรวจได้ตามสถานที่เหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการเก็บข้อมูลเป็นความลับอย่างเข้มงวด:
- โรงพยาบาลทั่วไป (ทั้งรัฐบาลและเอกชน) แผนกอายุรกรรม หรือแผนกสูตินรีเวช
- คลินิกเฉพาะทาง ด้านโรคผิวหนัง หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- คลินิกนิรนาม (Anonymous Clinics) เช่น คลินิกนิรนามของสภากาชาดไทย ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง ให้บริการตรวจเลือด HIV และ STIs อื่นๆ โดยไม่ต้องใช้ชื่อจริง และทราบผลรวดเร็ว
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- องค์การอนามัยโลก (World Health Organization – WHO): https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/sexually-transmitted-infections-(stis
- สถาบันมะเร็งแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (National Cancer Institute – NCI): https://www.cancer.gov/about-cancer/causes-prevention/risk/infectious-agents/hpv-and-cancer
- ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention – CDC): https://www.cdc.gov/hpv/parents/vaccine-safety.html
- ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention – CDC) https://www.cdc.gov/std/treatment-guidelines/default.htm
- วารสารการแพทย์ MDPI (Multidisciplinary Digital Publishing Institute):https://www.mdpi.com/2077-0383/14/15/5308
- โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS): https://www.unaids.org/en/resources/fact-sheet




