เช็กด่วน! ออกรถใหม่ป้ายแดง ต้องทำอย่างไรให้ “ประกันคุ้มครองชุดแต่ง” ครบวงเงิน
ยินดีด้วยครับสำหรับรถใหม่ป้ายแดง! หนึ่งในความสุขของการออกรถใหม่ คือการได้รถที่หน้าตาสวยงามถูกใจ บางคนเลือกติดตั้งชุดแต่ง สเกิร์ตรอบคัน หรือล้อแม็กใหม่ทันทีตั้งแต่ออกจากโชว์รูม โดยคิดว่าเมื่อจ่ายเงินทั้งหมดในบิลเดียวแล้ว ประกันภัยชั้น 1 ที่แถมมาก็จะคุ้มครองทุกชิ้นส่วน
แต่เดี๋ยวก่อน! นี่คือ “กับดัก” ที่คนออกรถใหม่จำนวนมากต้องเจ็บใจ เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วพบว่า… ประกันไม่เคลมชุดแต่ง ให้!
บทความนี้จะอธิบายว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น และคุณต้องทำอย่างไรในวันรับรถ เพื่อให้ประกันคุ้มครองรถของคุณแบบ 100%

ทำไมซื้อชุดแต่งจากศูนย์ แต่ “ประกันไม่เคลม” ให้
ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความเข้าใจผิดที่ว่า “ทุกอย่างที่ติดตั้งมาจากโชว์รูม ถือเป็นส่วนหนึ่งของรถ”
ในความเป็นจริง กรมธรรม์ประกันภัย (โดยเฉพาะที่แถมมา) จะให้ความคุ้มครองโดยอิงจาก “ทุนประกัน” ที่คำนวณมาจาก “ราคารถยนต์มาตรฐานโรงงาน” เท่านั้น
ชุดแต่ง, สเกิร์ต, สปอยเลอร์, หรือล้อแม็กที่ “ดีลเลอร์” หรือ “โชว์รูม” นำมาติดตั้งให้คุณภายหลัง ถือเป็น “อุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติม” ซึ่งมีมูลค่านอกเหนือไปจากราคารถมาตรฐานครับ
ตัวอย่างจริงที่เจ็บปวด: เมื่อประกันไม่คุ้มครองชุดแต่ง
สมมติว่าคุณออกรถใหม่ และติดตั้งชุดกันชนหน้าแต่งจากโชว์รูม ราคา 15,000 บาท
-
ราคากันชนหน้ามาตรฐาน (จากโรงงาน): 5,000 บาท
-
ราคากันชนหน้าแต่ง (ที่คุณติดเพิ่ม): 15,000 บาท
ต่อมา เกิดอุบัติเหตุชนด้านหน้า กันชนแตก ประกันจะอนุมัติการซ่อมหรือเปลี่ยนให้เฉพาะ “อะไหล่มาตรฐาน” เท่านั้น
นั่นหมายความว่า ประกันจะจ่ายให้คุณเพียง 5,000 บาท
ส่วนต่างอีก 10,000 บาท คุณต้องควักกระเป๋าจ่ายเอง!
นี่คือสาเหตุที่ทำให้หลายคนหัวเสียและรู้สึกเหมือนถูกหลอก ทั้งที่จริงแล้วมันคือขั้นตอนที่ถูกมองข้ามไปในวันรับรถ

4 ขั้นตอน “ต้องทำ” ในวันรับรถ เพื่อให้ประกันคุ้มครองชุดแต่ง 100%
ไม่ต้องกังวลครับ ปัญหานี้แก้ไขได้ง่ายมาก แต่คุณต้องจัดการให้เรียบร้อย “ก่อนเซ็นชื่อรับรถและก่อนกรมธรรม์เริ่มคุ้มครอง”
1. “แจ้ง” (Inform)
แจ้งเซลล์ผู้ขายและเจ้าหน้าที่ประกันภัย (ที่มาดำเนินการในวันนั้น) ให้ชัดเจนว่า “รถคันนี้มีการติดตั้งชุดแต่งเพิ่มเติม” มีรายการอะไรบ้าง และมูลค่ารวมเท่าไหร่
ปัญหาที่พบบ่อย: เซลล์อาจบอกคุณด้วยวาจาว่า “ประกันคุ้มครองชุดแต่งให้แล้วครับ” หรือ “แจ้งประกันให้แล้ว” เพื่อให้เราสบายใจและรีบเซ็นรับรถ แต่ในความเป็นจริง ข้อมูลนี้อาจยังไม่ถึงบริษัทประกัน (หรือยังไม่ได้แจ้งเลย)
สิ่งที่คุณต้องทำเพื่อตรวจสอบ (อย่าเพิ่งเชื่อคำพูดปากเปล่า):
-
ขอดูเอกสารกรมธรรม์ (ตัวจริงหรือตัวร่าง): ตรวจสอบว่ามีข้อความระบุ “การคุ้มครองอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติม” หรือยัง ถ้ายังไม่มี แสดงว่าการแจ้งยังไม่สมบูรณ์
-
โทรเช็กบริษัทประกันโดยตรง (ชัวร์ที่สุด): ใช้วิธีนี้เพื่อยืนยันข้อมูลจริงครับ ให้โทรหา Call Center ของบริษัทประกัน แจ้งข้อมูลรถ (เช่น เลขตัวถัง) และสอบถามเจ้าหน้าที่โดยตรงว่า “รถคันนี้ได้รับแจ้งคุ้มครองชุดแต่งเพิ่มเติมในวงเงิน…บาท แล้วหรือยัง?”
ขั้นตอนนี้สำคัญมาก เพราะเป็นการยืนยันว่า “เซลล์ได้แจ้งประกัน” ให้คุณจริงๆ ไม่ใช่แค่การรับปากครับ
2. “แยก” (Separate) – สำคัญที่สุด!
ขอให้โชว์รูมออก “ใบเสร็จรับเงิน หรือ ใบกำกับภาษี” ที่มีการแจกแจงรายการชัดเจน ดังนี้:
-
รายการที่ 1: ราคารถยนต์รุ่น…
-
รายการที่ 2: ค่าชุดแต่ง (ระบุรุ่น/ยี่ห้อ/รายการ) … มูลค่า XXX บาท
เอกสารนี้คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่สุด ที่จะใช้ยืนยันกับบริษัทประกันว่าชุดแต่งนี้มีอยู่จริงและมีมูลค่าเท่าไหร่
3. “เพิ่ม” (Increase)
บริษัทประกันจะนำมูลค่าของชุดแต่ง ไป “เพิ่มทุนประกัน” ในส่วนของอุปกรณ์ตกแต่งให้ ซึ่งขั้นตอนนี้ อาจมีค่าใช้จ่าย (เบี้ยประกัน) เพิ่มเติมเล็กน้อย (เช่น หลักร้อย หรือหลักพันต้นๆ ขึ้นอยู่กับมูลค่าของ) ซึ่งคุ้มค่ากว่าการต้องจ่ายส่วนต่างเองทีหลังหลายเท่า
4. “เช็ก” (Check)
เมื่อดำเนินการเสร็จสิ้น คุณต้องได้รับ “เอกสารสลักหลัง” (Endorsement) แนบท้ายกรมธรรม์ เอกสารนี้จะต้องระบุให้ชัดเจนว่า:
“คุ้มครองอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติม (ตามรายการ…) ในวงเงิน … บาท”
เก็บเอกสารนี้ไว้คู่กับกรมธรรม์ นี่คือหลักฐานยืนยันว่าชุดแต่งของคุณได้รับความคุ้มครองเรียบร้อยแล้ว

ลิสต์ตัวอย่าง “ชุดแต่ง-อุปกรณ์” ที่ต้องแจ้งประกันเพิ่ม
จุดสำคัญคือ “ทุกอย่างที่ไม่ได้มาจากสายการผลิตของโรงงาน” หรือ “ทุกอย่างที่คุณจ่ายเงินเพิ่ม” นอกเหนือจากราคารถมาตรฐาน แม้ว่าเซลล์จะรวมยอดมาให้ในบิลเดียวก็ตาม
หมวดที่ 1: ชุดแต่งภายนอก (ยอดนิยม)
-
ล้อแม็ก (Alloy Wheels): กรณีที่ไม่ได้มาจากโรงงาน แต่เป็นการ “เทิร์น” หรือ “อัปเกรด” ลายพิเศษที่โชว์รูม
-
ชุดแต่งรอบคัน: สเกิร์ต (Skirt) หน้า-หลัง และด้านข้าง
-
สปอยเลอร์ (Spoiler): แบบตูดเป็ด หรือแบบยกสูง
-
กระจังหน้าแต่ง (Custom Grille): เปลี่ยนดีไซน์ให้ต่างจากรุ่นมาตรฐาน
-
กันชนหน้า-หลัง (Bumpers): แบบแต่งที่เปลี่ยนทับของเดิม
-
บันไดข้าง (Side Steps): (สำหรับรถ SUV หรือกระบะ)
-
โรลบาร์ (Roll Bar): (สำหรับรถกระบะ)
หมวดที่ 2: ฟิล์มและการปกป้อง (ที่มักถูกมองข้าม)
-
ฟิล์มกรองแสงรุ่นพิเศษ (Premium Window Tint):
-
นี่คือจุดที่คนพลาดบ่อยครับ! ประกันมักคุ้มครอง “ฟิล์มมาตรฐาน” ที่แถมมา แต่ถ้าคุณ “จ่ายเพิ่ม” เพื่ออัปเกรดเป็นฟิล์มเซรามิก, ฟิล์มดิจิทัล หรือรุ่นท็อปที่มีราคาสูง (เช่น 10,000 – 30,000 บาท) คุณต้องแจ้งมูลค่าส่วนต่างนี้
-
-
การเคลือบพิเศษ (Special Coatings):
-
เคลือบแก้ว (Glass Coating)
-
เคลือบเซรามิก (Ceramic Coating)
-
-
ฟิล์มใสกันรอย (PPF – Paint Protection Film):
-
เช่น ฟิล์มกันรอยเบ้ามือจับ, กันรอยกันชนหน้า, หรือติดทั้งคัน
-
หมวดที่ 3: ภายในและความบันเทิง
-
เบาะหนัง (Leather Seats):
-
กรณีที่รถรุ่นมาตรฐานเป็นเบาะผ้า แต่คุณ “สั่งทำเบาะหนังเพิ่ม” จากดีลเลอร์ (ไม่ใช่รุ่นที่ออกจากโรงงาน)
-
-
จอเครื่องเสียง (Head Unit):
-
จอ Android, จอ Tesla, หรือเครื่องเสียง Hi-End ที่ไม่ได้มาจากโรงงาน
-
-
จอเพดาน / จอหลังเบาะ (Rear Entertainment Screen)
-
ชุดลำโพง / ซับวูฟเฟอร์ (Speakers / Subwoofer)
-
กล้องติดหน้ารถ (Dash Cam / DVR):
-
ที่ติดตั้งเพิ่มและมีราคาสูง
-
-
พรมปูพื้นรถยนต์แบบพิเศษ (Premium Floor Mats):
-
เช่น พรม 6D, 7D, หรือพรมไวนิล ที่มีราคาสูง (หลักหลายพันบาท)
-
หมวดที่ 4: อุปกรณ์เฉพาะทางอื่นๆ
-
อุปกรณ์ล็อกเบรก/คลัตช์ (Security Lock)
-
ชุดลากจูง (Towing Hook)
-
หลังคาไฟเบอร์/แครี่บอย (Canopy): (สำหรับรถกระบะ)

Q&A: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ “ประกันชุดแต่งรถยนต์”
Q: ถ้าเป็นรุ่นที่แต่งพิเศษมาจากโรงงานเลย (เช่น Toyota GR Sport, Honda RS) ต้องแจ้งไหม?
A: ไม่ต้องครับ หากเป็นรุ่นย่อยที่ผลิตและตกแต่งเสร็จมาจากสายการผลิตของโรงงาน (Factory-installed) ราคาทุนประกันจะรวมอุปกรณ์เหล่านั้นมาอยู่แล้ว ปัญหานี้จะเกิดกับ “ชุดแต่งที่ติดตั้งโดยดีลเลอร์” เท่านั้น
Q: ประกันบางที่บอกว่าคุ้มครองอุปกรณ์ตกแต่งให้ 20,000 บาทอยู่แล้ว?
A: ใช่ครับ ประกันชั้น 1 หลายแผนมีความคุ้มครองพื้นฐานให้ แต่ 20,000 บาท อาจไม่เพียงพอสำหรับชุดแต่งรอบคัน หรือล้อแม็กสวยๆ ที่ราคาสูงกว่านั้น การแจ้งเพิ่มวงเงินให้ครอบคลุมตามจริงจึงปลอดภัยที่สุด
Q: ออกรถมาแล้ว ไปแต่งเพิ่มทีหลัง แจ้งประกันชุดแต่ง อย่างไร?
A: ใช้หลักการเดียวกันครับ เมื่อติดตั้งเสร็จ ให้เก็บใบเสร็จไว้ แล้วรีบโทรติดต่อบริษัทประกันของคุณเพื่อ “แจ้งเพิ่มอุปกรณ์ตกแต่ง” และซื้อความคุ้มครองเพิ่ม (สลักหลังกรมธรรม์) ครับ
สรุป: ออกรถใหม่ทั้งที อย่าลืม “แจ้งประกันชุดแต่ง”
การตรวจสอบรถใหม่ในวันรับรถว่าสำคัญแล้ว การตรวจสอบเอกสารประกันภัยให้ครอบคลุม “ชุดแต่ง” ก็สำคัญไม่แพ้กัน อย่าเซ็นรับรถเพียงเพราะความตื่นเต้นหรือความเกรงใจเซลล์
สละเวลาอีกนิด “แจ้ง-แยก-เพิ่ม-เช็ก” 4 ขั้นตอนง่ายๆ นี้ จะช่วยให้คุณขับรถใหม่อย่างสบายใจ และมั่นใจได้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ประกันจะดูแลรถที่คุณรัก… ครบทุกชิ้นส่วนครับ
ส่วนใครที่เคยมีประสบการณ์เคลมไม่ได้มาก่อน แม้จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่คุณสามารถนำบทเรียนนี้ไปใช้กับการต่อประกันรอบถัดไป หรือการแจ้งเพิ่มชุดแต่งที่ติดตั้งใหม่ได้ทันทีครับ




