ใบสั่งจราจร ไม่ใช่โทษทางอาญาแล้ว! รู้จักกฎหมายใหม่ ‘ค่าปรับเป็นพินัย’ คืออะไร?

ใบสั่งไม่มีโทษอาญา

รับความรู้ดี ๆ อัปเดตความรู้เรื่องประกันรถ เคล็ดลับดูแลรถ และสิทธิพิเศษดี ๆ ส่งตรงถึง Inbox ทุกเดือน สมัครฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

หลายคนอาจยังเข้าใจว่าการได้รับใบสั่งจราจรคือการมีความผิดและต้องรับ “โทษทางอาญา” ซึ่งอาจส่งผลต่อประวัติ แต่ความจริงแล้ว…กฎหมายได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว! ปัจจุบันค่าปรับจากการกระทำผิดกฎจราจรไม่ถือเป็นโทษทางอาญาอีกต่อไป แต่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ใหม่ที่เรียกว่า “ค่าปรับทางพินัย” อ่านเรื่องใบสั่งวิธีเช็คออนไลน์ จ่ายค่าปรับได้ที่ คลิก

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ให้ชัดเจนว่า “ค่าปรับทางพินัย” คืออะไร, ส่งผลดีต่อผู้ขับขี่อย่างไร และแม้จะไม่ใช่คดีอาญา แต่ทำไมการเพิกเฉยต่อใบสั่งจึงยังคงสร้างปัญหาใหญ่ให้คุณได้

เปลี่ยนแปลงจาก “โทษปรับทางอาญา” สู่ “ค่าปรับทางพินัย”

หัวใจของการเปลี่ยนแปลงนี้มาจาก “พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕” ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้แล้ว

  • กฎหมายเดิม: การไม่จ่ายค่าปรับจราจร ถือเป็นความผิดทางอาญา แม้จะเป็นเพียงลหุโทษ (โทษสถานเบา) แต่ก็มีการบันทึกในทะเบียนประวัติอาชญากรรม และหากเพิกเฉยอาจถูกออกหมายจับได้
  • กฎหมายใหม่ (การปรับเป็นพินัย): กฎหมายนี้ได้ “ยกเลิกโทษอาญา” สำหรับความผิดเล็กๆ น้อยๆ กว่า 200 ฉบับ รวมถึงความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก และเปลี่ยน “โทษปรับ” ให้เป็น “ค่าปรับทางพินัย” แทน

“ค่าปรับทางพินัย” คืออะไร? พูดง่ายๆ คือ เป็นมาตรการลงโทษทางปกครอง ไม่ใช่ทางอาญา มีเป้าหมายเพื่อบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคม ไม่ได้มุ่งหมายจะตีตราว่าบุคคลนั้นเป็น “อาชญากร” ดังนั้น การไม่ชำระค่าปรับจึงไม่ส่งผลให้มีประวัติอาชญากรรมติดตัว

ไม่ใช่คดีอาญา แล้วส่งผลดีและแตกต่างจากเดิมอย่างไร

การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลดีโดยตรงต่อผู้ขับขี่ และเปลี่ยนวิธีการบังคับใช้กฎหมายไปอย่างสิ้นเชิง

  1. ไม่มีประวัติอาชญากรรม: นี่คือข้อดีที่ชัดเจนที่สุด การโดนใบสั่งและชำระค่าปรับ (หรือแม้แต่ค้างชำระ) จะไม่ถูกบันทึกลงในทะเบียนประวัติอาชญากรรมของคุณ
  2. ไม่มีการออกหมายจับ: เนื่องจากไม่ใชคดีอาญาแล้ว เจ้าหน้าที่จะไม่สามารถออกหมายจับคุณในคดีไม่จ่ายค่าปรับจราจรได้
  3. เปลี่ยนวิธีการบังคับใช้กฎหมาย: เมื่อไม่ใช้กระบวนการทางอาญา รัฐจึงเปลี่ยนไปใช้ “มาตรการบังคับทางปกครอง” ที่เข้มข้นและหลีกเลี่ยงได้ยากกว่าเดิมแทน ซึ่งก็คือการเชื่อมข้อมูลกับหน่วยงานที่ให้บริการประชาชนโดยตรง

แล้วถ้าไม่จ่ายค่าปรับ จะเกิดอะไรขึ้นในยุค “ค่าปรับทางพินัย”

แม้จะไม่ติดคุกหรือมีประวัติอาชญากร แต่ผลกระทบจากการไม่จ่ายค่าปรับนั้นรุนแรงและกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันโดยตรง ตามข้อมูลล่าสุดจาก Thai PBS และ Sanook ที่สอดคล้องกับแนวทางของกฎหมายใหม่

กลไกการบังคับใช้ คือ การ “อายัดสิทธิ” ผ่านกรมการขนส่งทางบก

  • เมื่อคุณมีใบสั่งค้างชำระ ข้อมูลจะถูกส่งออนไลน์ไปยังกรมการขนส่งทางบก
  • เมื่อถึงเวลาต่อภาษีรถยนต์ประจำปี เจ้าหน้าที่จะพบข้อมูลค่าปรับของคุณ
  • คุณจะถูกบีบให้ตัดสินใจ ณ ตอนนั้น:
    • ทางเลือกที่ 1 (จ่ายให้จบ): ชำระค่าปรับที่ค้างทั้งหมดพร้อมกับค่าภาษี และรับป้ายวงกลม (เครื่องหมายแสดงการเสียภาษี) ตัวจริงไปได้เลย
    • ทางเลือกที่ 2 (จ่ายแค่ภาษี): หากคุณเลือกจ่ายเฉพาะค่าภาษี คุณจะได้รับเพียง ใบเสร็จชั่วคราว เท่านั้น และจะ “ไม่ได้รับป้ายวงกลมตัวจริง”
  • ผลกระทบต่อเนื่อง: การไม่มีป้ายวงกลมตัวจริง เท่ากับว่ารถของคุณต่อภาษีไม่สมบูรณ์ หากใช้รถต่อไปจะมีความผิดตามกฎหมาย และที่สำคัญคือ ทะเบียนรถจะถูกอายัด ทำให้ไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆ ได้ เช่น โอนรถ, ขายรถ หรือแจ้งย้าย จนกว่าจะเคลียร์ค่าปรับให้หมดสิ้น

จะเห็นได้ว่า แม้โทษทางอาญาจะหายไป แต่มาตรการบังคับใหม่นี้ทำให้คุณ “หนี” การจ่ายค่าปรับได้ยากกว่าเดิมมาก

วิธีตรวจสอบและชำระค่าปรับออนไลน์ (ยังคงเหมือนเดิม)

เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว คุณสามารถตรวจสอบและชำระค่าปรับได้อย่างสะดวกผ่านช่องทางเดิม

  • วิธีตรวจสอบ: เข้าไปที่เว็บไซต์ ptm.police.go.th เพื่อเช็คใบสั่งที่ยังค้างชำระ
  • ช่องทางชำระเงิน: แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT, เป๋าตัง, ที่ทำการไปรษณีย์, เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย หรือตู้บุญเติม

สรุป

การเปลี่ยนค่าปรับจราจรเป็น “ค่าปรับทางพินัย” ถือเป็นก้าวสำคัญของกระบวนการยุติธรรมไทย ที่ช่วยลดภาระของประชาชนจากการมีประวัติอาชญากรรมในความผิดที่ไม่ร้ายแรง อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายกลับมีความเข้มข้นและเป็นระบบมากขึ้นผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมการขนส่งทางบก

ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดคือการชำระค่าปรับให้เรียบร้อยผ่านช่องทางที่สะดวก และที่สำคัญกว่านั้นคือการเคารพกฎจราจรเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองและเพื่อนร่วมทางทุกคน

 

แชร์บทความนี้