Back to top

โรคมะเร็งคือ

8 สัญญาณเตือนมะเร็ง รู้เร็ว รักษาได้ทัน: เช็กอาการผิดปกติที่ร่างกายฟ้อง

ร่างกายของเรามักส่งสัญญาณเตือนเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นเสมอ “มะเร็ง” ก็เช่นกัน แม้จะเป็นโรคร้าย แต่การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกเริ่มคือกุญแจสำคัญที่เพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้อย่างมหาศาล บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับสัญญาณเตือนสำคัญต่างๆ ที่ไม่ควรมองข้าม พร้อมคำแนะนำว่าเมื่อเจออาการน่าสงสัยแล้วควรทำอย่างไรต่อไป เพื่อให้คุณดูแลสุขภาพของตัวเองและคนที่คุณรักได้อย่างทันท่วงที

ทำความรู้จัก “มะเร็ง” และระยะของโรคแบบเข้าใจง่าย

มะเร็ง (Cancer) คือโรคที่เกิดจากเซลล์ในร่างกายของเราเติบโตผิดปกติอย่างควบคุมไม่ได้ จนกลายเป็นก้อนเนื้อ (Tumor) และสามารถลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง หรือแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ผ่านกระแสเลือดหรือระบบน้ำเหลือง

โดยทั่วไป ความรุนแรงของมะเร็งจะถูกแบ่งออกเป็นระยะต่างๆ เพื่อช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้เหมาะสม:

  • ระยะเริ่มต้น (0-1): เซลล์มะเร็งยังอยู่เฉพาะจุด มีขนาดเล็ก และยังไม่ลุกลาม

  • ระยะลุกลาม (2-3): ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามไปยังเนื้อเยื่อหรือต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง

  • ระยะแพร่กระจาย (4): เซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกล เช่น ปอด ตับ สมอง หรือกระดูก

8 สัญญาณเตือนจากร่างกาย ที่อาจบ่งชี้โรคมะเร็ง

การสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณมีอาการเหล่านี้ต่อเนื่องนานผิดปกติ (เช่น เกิน 2-4 สัปดาห์) ควรรีบปรึกษาแพทย์

1. มีก้อนเนื้อหรือรอยบวมที่เกิดขึ้นใหม่: คลำพบก้อนผิดปกติได้ทุกส่วนของร่างกาย เช่น เต้านม ลำคอ รักแร้ หรือขาหนีบ โดยเฉพาะก้อนที่ไม่เจ็บ

2. การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง: ไฝหรือปานที่รูปร่างเปลี่ยนไป ขนาดใหญ่ขึ้น หรือสีไม่สม่ำเสมอ รวมถึงแผลเรื้อรังที่รักษาไม่หาย

3. น้ำหนักลดฮวบโดยไม่ทราบสาเหตุ: น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจลดความอ้วนหรือเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน

4. ไอเรื้อรังหรือเสียงแหบ: อาการไอไม่หายขาดนานหลายสัปดาห์ มีเสมหะปนเลือด หรือเสียงเปลี่ยนไปจากเดิม

5. ระบบขับถ่ายเปลี่ยนแปลง: มีอาการท้องผูกสลับกับท้องเสียอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อุจจาระมีขนาดเล็กลง หรือมีเลือดปน

6. เลือดออกผิดปกติ: มีเลือดออกจากส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยไม่มีสาเหตุ เช่น เลือดกำเดาไหลบ่อย, อาเจียนเป็นเลือด, ปัสสาวะหรืออุจจาระมีเลือดปน, หรือเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด

7. ปวดเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ: มีอาการปวดต่อเนื่องในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง หรือปวดกระดูก ที่รักษาแล้วไม่ดีขึ้น

8. อ่อนเพลียอย่างรุนแรง: รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลียผิดปกติ แม้ว่าจะพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้วก็ตาม


พบสัญญาณน่าสงสัย… อย่าเพิ่งตกใจ! ควรทำอย่างไรต่อ?

สิ่งสำคัญที่สุดคือ อย่าเพิ่งสรุปว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เพราะอาการเหล่านี้อาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้เช่นกัน แต่ ห้ามละเลยหรือปล่อยทิ้งไว้ โดยเด็ดขาด

  1. รวบรวมข้อมูล: สังเกตอาการของคุณให้ชัดเจน เช่น เป็นมานานแค่ไหน, เป็นๆ หายๆ หรือเป็นตลอดเวลา, มีอาการอื่นร่วมด้วยหรือไม่

  2. นัดพบแพทย์: นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง การค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียวไม่สามารถยืนยันโรคได้

  3. แจ้งข้อมูลกับแพทย์อย่างละเอียด: บอกเล่าอาการที่เป็นและประวัติสุขภาพของคุณให้แพทย์ทราบอย่างครบถ้วน เพื่อเป็นข้อมูลในการวินิจฉัยต่อไป

เมื่อไปพบแพทย์ มีวิธีตรวจวินิจฉัยอย่างไรบ้าง?

หากแพทย์สงสัยว่าอาจเป็นโรคมะเร็ง จะมีกระบวนการตรวจเพื่อยืนยันผล ซึ่งอาจประกอบด้วยหลายวิธีดังนี้:

  • การซักประวัติและตรวจร่างกาย: แพทย์จะสอบถามอาการและคลำตรวจบริเวณที่น่าสงสัย

  • การตรวจทางห้องปฏิบัติการ: เช่น การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor Markers)

  • การตรวจทางรังสีวิทยา (Imaging): เพื่อดูภาพอวัยวะภายใน เช่น อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan), หรือ MRI เพื่อหาก้อนเนื้อหรือการแพร่กระจาย

  • การส่องกล้อง (Endoscopy): สำหรับตรวจอวัยวะภายใน เช่น กระเพาะอาหาร หรือลำไส้ใหญ่

  • การตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ (Biopsy): ถือเป็น วิธีที่แม่นยำที่สุด ในการยืนยันว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ โดยแพทย์จะนำชิ้นเนื้อส่วนเล็กๆ จากก้อนที่สงสัยไปตรวจในห้องปฏิบัติการ

ลดความเสี่ยงมะเร็ง: เริ่มต้นได้ด้วยตัวคุณเอง

แม้ว่ามะเร็งบางชนิดจะป้องกันไม่ได้ แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพให้ดีขึ้น:

  • อาหาร: เน้นทานผักผลไม้, ธัญพืชไม่ขัดสี, ลดอาหารไขมันสูง-แปรรูป

  • ออกกำลังกาย: ทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์

  • ควบคุมน้ำหนัก: รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

  • งดสูบบุหรี่และลดแอลกอฮอล์: เพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งหลายชนิด

  • หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด: เพื่อป้องกันมะเร็งผิวหนัง

  • ตรวจสุขภาพและคัดกรองมะเร็ง: เข้ารับการตรวจคัดกรองตามคำแนะนำของแพทย์เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม เช่น ตรวจมะเร็งปากมดลูก, มะเร็งเต้านม, และมะเร็งลำไส้ใหญ่

บทสรุป การ “ฟังเสียง” ร่างกายของตัวเองคือสิ่งที่ดีที่สุด อย่ากลัวที่จะไปพบแพทย์เมื่อสังเกตพบความผิดปกติ เพราะการตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ไม่เพียงแต่จะทำให้การรักษาง่ายขึ้น แต่ยังเพิ่มโอกาสในการกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติและมีคุณภาพได้อีกครั้ง

คำเตือน (Disclaimer): บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำแนะนำ การวินิจฉัย หรือการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ หากมีอาการน่าสงสัยหรือข้อกังวลใดๆ เกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์โดยตรง