เหตุการณ์น้ำท่วมมักสร้างความเสียหายและความกังวลใจให้เราเสมอ แต่หากท่านมีประกันภัยที่คุ้มครองกรณีน้ำท่วม (ไม่ว่าจะเป็นประกันรถยนต์ หรือประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย) การตั้งสติและดำเนินการอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ท่านได้รับความคุ้มครองอย่างเต็มที่
เพื่อให้การเคลมเป็นไปอย่างราบรื่น เราขอแนะนำ 4 ขั้นตอนสำคัญในการแจ้งเคลมประกัน ดังนี้:

1. ตรวจสอบกรมธรรม์
สิ่งแรกที่ต้องทำคือหยิบกรมธรรม์ของท่านมาตรวจสอบความคุ้มครองทันที
-
สำหรับรถยนต์: โดยส่วนใหญ่ประกันชั้น 1 จะคุ้มครองกรณีน้ำท่วม แต่หากเป็นชั้น 2+ หรือ 3+ ต้องดูว่าท่านได้ซื้อความคุ้มครองเสริมเรื่องน้ำท่วมไว้หรือไม่
-
สำหรับบ้าน: ตรวจสอบว่าในประกันอัคคีภัยของท่าน มีการระบุความคุ้มครอง “ภัยน้ำท่วม” ไว้ด้วยหรือไม่ และวงเงินความคุ้มครองอยู่ที่เท่าไหร่ เพื่อประเมินสถานการณ์ได้ถูกต้อง
2. ตรวจสอบและถ่ายรูปความเสียหาย
เมื่อสถานการณ์คลี่คลายหรือปลอดภัยพอที่จะเข้าสำรวจพื้นที่ “อย่าเพิ่งรีบทำความสะอาด” จนกว่าจะเก็บหลักฐานครบถ้วน
-
ถ่ายรูปรอบตัวรถ หรือบริเวณบ้านที่เสียหายให้ชัดเจน
-
ถ่ายรูปให้เห็นระดับน้ำที่ท่วมสูง (รอยคราบน้ำ)
-
ถ่ายรูปทรัพย์สินที่เสียหายแบบเจาะจงทีละชิ้น
-
หากเป็นไปได้ควรถ่ายคลิปวิดีโอเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
3. แจ้งความเสียหายกับบริษัทประกันภัย
รีบติดต่อบริษัทประกันภัยที่ท่านทำไว้โดยเร็วที่สุด
-
โทรแจ้ง Call Center หรือแจ้งผ่านแอปพลิเคชันของบริษัทประกัน
-
แจ้งรายละเอียดเบื้องต้น: เลขที่กรมธรรม์, ทะเบียนรถ (กรณีรถยนต์), วันเวลาที่เกิดเหตุ และลักษณะความเสียหาย
-
เจ้าหน้าที่จะออก เลขที่ใบเคลม (Claim No.) ให้ท่าน เพื่อใช้ในการติดตามเรื่องและนัดหมายเจ้าหน้าที่สำรวจภัย (Surveyor) เข้ามาประเมินหน้างาน
4. รวบรวมเอกสารประกอบการเบิกสินไหม
เตรียมเอกสารให้พร้อมเพื่อความรวดเร็วในการอนุมัติ โดยทั่วไปจะประกอบด้วย:
-
สำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของกรมธรรม์
-
หนังสือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
- รูปถ่ายความเสียหายที่ท่านบันทึกไว้
- เล่มทะเบียนรถ (กรณีเคลมรถ) หรือโฉนดที่ดิน/ทะเบียนบ้าน (กรณีเคลมบ้าน)
- เอกสารประกอบอื่นๆ กรณีบริษัทประกันภัยมีการร้องขอ

การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยลดความยุ่งยากและทำให้ท่านได้รับเงินชดเชยรวดเร็วยิ่งขึ้น หากมีข้อสงสัย ควรสอบถามกับตัวแทนหรือบริษัทประกันของท่านทันทีเพื่อรักษาสิทธิ์ประโยชน์สูงสุดครับ




