มะเร็งเต้านม (Breast Cancer) เป็นโรคมะเร็ง ที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิงไทย และเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด แต่ข่าวดีคือ หากเราตรวจพบได้เร็วตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม โอกาสในการรักษาให้หายขาดก็มีสูงมาก การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสัญญาณเตือน วิธีการตรวจคัดกรอง และแนวทางการรักษา จึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิงทุกคน บทความนี้จะสรุปทุกเรื่องสำคัญเกี่ยวกับมะเร็งเต้านมให้คุณเข้าใจง่าย เพื่อให้คุณสามารถดูแลตัวเองและคนที่คุณรักได้อย่างมั่นใจ
เช็กด่วน! 5 สัญญาณเตือนมะเร็งเต้านมที่ไม่ควรละเลย
การเปลี่ยนแปลงบริเวณเต้านมเป็นสัญญาณแรกๆ ที่สังเกตได้ด้วยตนเอง หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย อย่าปล่อยทิ้งไว้
-
คลำพบก้อนเนื้อ: มีก้อนหนาๆ บริเวณเต้านมหรือใต้รักแร้ ซึ่งอาจจะเจ็บหรือไม่เจ็บก็ได้
-
รูปทรงหรือขนาดเต้านมเปลี่ยนแปลง: เต้านมข้างใดข้างหนึ่งมีขนาดหรือรูปทรงที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
-
การเปลี่ยนแปลงที่หัวนม: หัวนมบุ๋ม ดึงรั้ง มีแผล บวมแดง หรือมีของเหลวผิดปกติไหลออกมา โดยเฉพาะของเหลวที่เป็นเลือด
-
การเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนัง: ผิวหนังบริเวณเต้านมมีลักษณะคล้ายเปลือกส้ม บุ๋มลงไป หรือมีสีที่เปลี่ยนไป
-
อาการเจ็บผิดปกติ: รู้สึกเจ็บบริเวณเต้านมหรือรักแร้โดยไม่ทราบสาเหตุ และอาการไม่หายไปแม้ประจำเดือนจะหมดแล้ว
สำคัญ: การมีอาการเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นมะเร็งเสมอไป แต่อาการเหล่านี้คือสัญญาณสำคัญที่บอกว่าคุณควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจที่แน่ชัด

รู้เร็ว รักษาได้: รู้จัก 5 วิธีตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม
การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอช่วยให้เราสามารถค้นพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม เพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้
-
การตรวจเต้านมด้วยตนเอง (Breast Self-Exam)
-
เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถทำได้ด้วยตนเองที่บ้านเป็นประจำทุกเดือน (แนะนำให้ทำหลังหมดประจำเดือน 7-10 วัน) เพื่อให้คุ้นเคยกับเต้านมของตนเองและสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้เร็ว
-
-
การตรวจโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ (Clinical Breast Exam)
-
แพทย์จะใช้การคลำตรวจเต้านมและบริเวณต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่อาจมองไม่เห็นหรือคลำไม่พบด้วยตนเอง
-
-
การตรวจแมมโมแกรม (Mammogram)
-
เป็นการเอกซเรย์เต้านมโดยใช้รังสีปริมาณต่ำ ถือเป็นวิธีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการตรวจหามะเร็งเต้านมระยะเริ่มแรก เพราะสามารถตรวจพบหินปูนหรือก้อนขนาดเล็กที่ยังคลำไม่เจอได้
-
-
การตรวจอัลตราซาวด์ (Breast Ultrasound)
-
เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสร้างภาพเนื้อเยื่อเต้านม มักใช้ตรวจเสริมกับการทำแมมโมแกรม โดยเฉพาะในผู้ที่อายุน้อยหรือมีเนื้อเต้านมหนาแน่น เพื่อช่วยแยกลักษณะของก้อนเนื้อว่าเป็นถุงน้ำหรือก้อนเนื้อตัน
-
-
การตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy)
-
หากแพทย์ตรวจพบก้อนเนื้อหรือจุดที่น่าสงสัย จะทำการเจาะหรือตัดชิ้นเนื้อส่วนเล็กๆ ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันว่าเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่ ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่สามารถวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านมได้อย่างแม่นยำที่สุด
-
แนวทางการรักษามะเร็งเต้านมในปัจจุบันมีอะไรบ้าง?
ปัจจุบันการรักษามะเร็งเต้านมมีความก้าวหน้าไปมาก และแพทย์จะวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยพิจารณาจากชนิดของเซลล์มะเร็ง ระยะของโรค และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ซึ่งวิธีการรักษาหลักๆ มีดังนี้
-
การผ่าตัด (Surgery): เป็นวิธีหลักในการนำก้อนมะเร็งออก อาจเป็นการผ่าตัดแบบสงวนเต้า (ตัดเฉพาะก้อนมะเร็ง) หรือการผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมด (ในกรณีที่ก้อนมีขนาดใหญ่หรือกระจายตัว)
-
การฉายรังสี (Radiation Therapy): คือการใช้รังสีพลังงานสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่บริเวณเต้านมหรือต่อมน้ำเหลืองหลังการผ่าตัด เพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ
-
เคมีบำบัด (Chemotherapy): หรือ “คีโม” คือการใช้ยาเพื่อหยุดยั้งหรือทำลายเซลล์มะเร็งทั่วร่างกาย มักใช้ในกรณีที่มะเร็งมีขนาดใหญ่หรือมีการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น
-
การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy): เป็นการใช้ยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง ทำให้มีผลข้างเคียงต่อเซลล์ปกติน้อยกว่าเคมีบำบัด
-
การรักษาด้วยฮอร์โมน (Hormone Therapy): ใช้ในกรณีที่เซลล์มะเร็งมีการเจริญเติบโตโดยอาศัยฮอร์โมนเพศหญิง ยาจะเข้าไปยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนนั้นๆ
-
ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): เป็นการรักษาแบบใหม่ โดยใช้ยากระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สามารถตรวจจับและทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
-
Q: มะเร็งเต้านมเกิดกับผู้ชายได้หรือไม่?
-
A: ได้ แต่พบได้น้อยมาก (น้อยกว่า 1% ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั้งหมด) อย่างไรก็ตาม ผู้ชายก็ไม่ควรละเลยหากพบความผิดปกติที่เต้านม
-
-
Q: ควรเริ่มตรวจแมมโมแกรมเมื่ออายุเท่าไหร่?
-
A: โดยทั่วไปแนะนำให้ผู้หญิงที่ไม่มีความเสี่ยงสูง เริ่มตรวจแมมโมแกรมทุก 1-2 ปี ตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป แต่หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและอาจต้องเริ่มตรวจเร็วกว่านั้น
-
-
Q: มะเร็งเต้านมรักษาหายไหม?
-
A: หายได้ โดยเฉพาะหากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ยิ่งรู้เร็วเท่าไหร่ โอกาสในการรักษาให้หายขาดก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
-
สรุป มะเร็งเต้านมไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวจนเกินไปหากเรามีความเข้าใจและใส่ใจดูแลตัวเองอยู่เสมอ การหมั่นตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ และเข้ารับการตรวจคัดกรองกับแพทย์เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม คือหัวใจสำคัญของการป้องกันและเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้ หากคุณมีข้อกังวลหรือพบสัญญาณผิดปกติใดๆ อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์ทันที
คำเตือน (Disclaimer) บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลความรู้ทั่วไปเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำแนะนำ การวินิจฉัย หรือการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้




